การพัฒนาฝึกอบรมสามารถมีแบบต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ ซึ่งการเลือกใช้แบบการฝึกอบรมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ขององค์กรและความต้องการของพนักงานเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดเชิงภูมิภาคและการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรด้วย
นี่คือบางตัวอย่างของแบบการฝึกอบรมที่มักจะนำเสนอในองค์กร:
- การฝึกอบรมแบบการสอนเชิงดูแล (Instructor-led Training – ILT): แบบฝึกอบรมที่ให้ผู้สอนมาสอนเนื้อหาและแจ้งให้ทราบเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ในห้องเรียนหรือสถานที่ที่มีผู้สอนในที่แห่ง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ยอดนิยมในการฝึกอบรม
- การฝึกอบรมแบบเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-paced Learning): แบบฝึกอบรมที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ใช้แหล่งเรียนรู้ที่ออนไลน์หนังสือ หรือเครื่องมือซอฟต์แวร์ที่สามารถเรียนรู้ได้ตามความต้องการของตนเอง
- การฝึกอบรมแบบซับซ้อน (Experiential Learning): การฝึกอบรมที่ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จริง ๆ ในการปฏิบัติงาน การเรียนรู้ในสถานการณ์จริงนี้ช่วยเสริมสร้างทักษะและความรู้อย่างมีนัยสำคัญ
- การฝึกอบรมแบบร่วมมือ (Collaborative Learning): การฝึกอบรมที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้จากกันและกัน ผู้เรียนมาก่อนอาจแบ่งปันความรู้หรือประสบการณ์กับผู้เรียนคนอื่น ๆ
- การฝึกอบรมแบบแนวคิดใหม่ (Innovative Learning): การนำเสนอแนวคิดใหม่ในการฝึกอบรม เช่น การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เกม หรือสถานการณ์การแข่งขันเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
- การฝึกอบรมแบบซับซ้อน (Blended Learning): การผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ด้วยตนเองและการสอนเชิงดูแล ใช้เทคโนโลยีในการส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น การใช้แอปพลิเคชันการเรียนรู้ หรือการเรียนรู้ออนไลน์
การฝึกอบรมแต่ละแบบนี้สามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในทางด้านทักษะและความรู้ต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์และความต้องการขององค์กร การใช้แบบการฝึกอบรมที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างทีมงานที่มีความรู้ความสามารถและความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเพื่อให้สามารถตอบสนองความเปลี่ยนแปลงและความต้องการขององค์กรในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
อุปกรณ์ที่ใช้นำเสนอที่ต้องจัดเตรียมมีอะไรบ้าง
การนำเสนอต้องการอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายและเหมาะสมกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ นี่คือบางอุปกรณ์ที่มักใช้ในการนำเสนอ:
- คอมพิวเตอร์และโปรแกรมสำหรับนำเสนอ: คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือสำหรับนำเสนอที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โปรแกรมที่ใช้สร้างนำเสนออาจเป็น PowerPoint, Keynote, Prezi, Google Slides และอื่น ๆ ที่ให้ความสามารถในการสร้างสไลด์และเพิ่มสื่อเสริม เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ แผนภูมิ แผนที่ เป็นต้น
- โปรเจกเตอร์ (Projector) และหน้าจอ: ใช้เพื่อนำเสนอภาพสไลด์หรือสื่อต่าง ๆ ให้กับผู้ชมในขนาดใหญ่ ๆ สามารถใช้หน้าจอที่ติดตั้งอยู่ในห้องประชุมหรือสตูดิโอ
- มือถือและแท็บเล็ต: ใช้เพื่อนำเสนอแบบเรียนรู้ด้วยตนเองหรือนำเสนอเรื่องราวที่เป็นแนวคิดใหม่ ๆ หรือการสื่อสารกับผู้ชม
- ตารางขาย (Whiteboard) และปากกา: ใช้ในการเขียนเพิ่มเติมหรืออธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมในขณะนำเสนอ มีความสะดวกในการลบเนื้อหาทิ้งและแก้ไข
- ตัวแทนการแสดง (Model): อาจเป็นจำลองของสิ่งของหรือกระบวนการต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการอธิบายหรือสื่อสารกับผู้ชม
- ภาพถ่ายและวิดีโอ: ใช้ในการเติมเต็มเนื้อหาและแสดงตัวอย่างที่ชัดเจนให้กับผู้ชม
- แผนภูมิและแผนที่: ใช้เพื่อแสดงข้อมูลที่มีอยู่ในรูปแบบกราฟิก เช่น แผนภูมิแท่ง แผนภูมิวงกลม แผนที่ที่แสดงข้อมูลทางภูมิศาสตร์
- สื่อต่าง ๆ: อาจเป็นได้ทั้งเสียงเพลง ไฟล์เสียง หรือสิ่งที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่นำเสนอ
- แผ่นสไลด์สำหรับเขียน (Flipchart): ใช้ในการเขียนข้อความหรือแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถให้ผู้ชมมองเห็นกระบวนการเขียนข้อความหรือภาพเกิดขึ้นขณะนำเสนอ
- ไฟล์เสียงและวิดีโอ: สามารถนำมาใช้ในการสร้างสื่อเสริมหรือเพิ่มความน่าสนใจในเนื้อหา
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ ที่อาจใช้ในการนำเสนอตามความต้องการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้นำเสนอด้วย สิ่งสำคัญคือการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมและมีความช่วยเสียงในการนำเสนอเนื้อหาให้กับผู้ชมอย่างไร้ข้อบ่งชี้ และควรตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอเพื่อให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ที่น่าทึ่งและมีประโยชน์จากการนำเสนอนั้น